วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เราได้ประโยชน์อะไรจากงานการฟิค อย่างไรบ้าง




ทำให้ ภาพดูขาวสวยขึ้นน สามารถแต่งภาพได้
และเพิ่มคว่มสวยงามให้กับภาพมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552


ปากกา
กำเนิดปากกา
นอกจากตัวอักษรหรือตัวหนังสือซึ่งมนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาใช้แล้ว " เครื่องมือ " หรือ " อุปกรณ์ " ที่ใช้สำหรับการขีดเขียนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะกว่าที่เราจะเขียนหนังสือด้วย "ปากกา " หรือ " ดินสอ " ดังเช่นในปัจจุบันนี้ มนุษย์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการขีดเขียนเป็นเวลานานหลายพันปี
ในยุคอดีตมนุษย์อาจจะใช้นิ้วจุ่มดินหรือหินสี ที่บดเป็นผงผสมกับยางไม้ หรือกาวจากหนังสัตว์ ขีดเขียนบนผนังถ้ำหรือเพิงผา ต่อมาอาจใช้ ดิน หิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยการนำมาฝนหรือทำให้เป็นแท่งเพื่อความสะดวกในการขีดเขียน เช่น นำหินชนวนมาทำเป็นดินสอหิน สำหรับเขียนบนกระดานชนวน หรือการทำชอล์กจากผงแคลเซียมซัลเฟต จากเกลือจืด หรือยิปซัมผสมน้ำ แล้วทำให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการใช้งาน เช่นในปัจจุบันนี้

วิวัฒนาการของการเขียน
จากการเขียนบนฝาผนังถ้ำ นำมาสู่การเขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะ ตลอดถึงการเขียนบนใบไม้ (เขียนหรือจารคัมภีร์โบราณลงบนใบลาน) มาจนถึงการประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องมือและกรรมวิธีในการเขียนมาอย่างต่อเนื่อง
ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติแรกที่ใช้แปรงเขียนหนังสือบนแผ่นกระดาษที่ทำจากต้นปาปิรุส (papyrus) เป็นการเริ่มต้นวิธีการเขียนด้วยการปล่อยหมึกหรือสีบนแผ่นรองเขียน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือด้วยพู่กันของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแนวความคิดเบื้องต้นที่พัฒนาไปสู่การประดิษฐ์ปากกา
ชาวกรีกโบราณประดิษฐ์ปากกาขึ้นจากต้นกกไส้กลวง โดยการปาดให้มีปากหลายๆแบบ ทำให้เขียนเส้นได้หลายขนาด ปากกานี้ไม่ใช้หมึกแต่ใช้เขียนบนผิวไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งไว้ ทำให้เกิดรอยเป็นตัวอักษรบนผิวขี้ผึ้ง


[แก้ไข] ปากกาแพร่หลายในอังกฤษ
การนำวัสดุผิวเรียบมาเป็นสิ่งรองเขียนก่อให้เกิดการพัฒนา เครื่องเขียนที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการใช้สอย มนุษย์เริ่มนำขนนกหรือขนห่านมาทำเป็น ปากกา เรียกว่า ปากไก่สามารถเขียนได้คมชัดและเขียนติดต่อกันได้นาน
ในศตวรรษที่ 5 ปากไก่ เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเขียนหนังสือของชาวตะวันตก ในขณะที่ชาวตะวันออกยังนิยมใช้พู่กันไม้อยู่ แต่ทั้ง "ปากไก่" และ "พู่กัน" ไม่มีหมึกในตัวเอง ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่ใช้เขียนทำให้เขียนได้ไม่สะดวก
ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ ปากกา ที่มีปากเป็นโลหะและมีรอยผ่าตรงกลางปาก ทำให้เขียนได้นานโดยไม่ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน
ในประเทศอังกฤษมีการทำปากกาชนิดนี้ขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการผลิต ปากกา ที่ปลายปากทำด้วยวัสดุต่างๆกัน เช่น เขาสัตว์ เปลือกหอย เหล็กและทอง มีการผลิตกันมากขึ้นจนกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แข่งขันกันในเรื่องของความสวยงาม พร้อมกับประดิษฐ์กล่องและที่ใส่หมึกควบคู่ไปกับปากกาด้วย แม้ว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประดิษฐ์ปากกาที่มีหมึกในตัวเองได้

[แก้ไข] บิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม
ปี ค.ศ. 1884 Lewis Edson Waterman ได้ผลิตปากกาที่มีหมึกในตัว เรียกว่า ปากกาหมึกซึม (Fountain pen ) ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า Waterman เป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม มีการคิดค้นพัฒนาปากกาชนิดนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะดวกในการใช้งานและมีรูปทรงสวยงาม ผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน มีนักประดิษฐ์ปากกาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น George Parker, Walter A. Sheaffer เป็นต้น และได้ครอบครองความเป็นจ้าวแห่งเครื่องมือสำหรับการเขียนมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายสิบปี
ในปี ค.ศ. 1900 ปากกาหมึกซึม ได้พบคู่แข่งใหม่นั่นก็คือปากกาลูกลื่น ปากกาที่มีลูกกลิ้ง ( Ball ) กลมๆเล็กๆ อยู่ที่ปลายปาก เวลาเขียนลูกกลมๆเล็กๆนี้จะหมุน ( กลิ้ง ) ทำให้หมึกออกมาติดบนกระดาษ ปากกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยชาวอเมริกาชื่อ จอห์น เอช. ลาวด์ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขีดเขียนบนพื้นที่หยาบๆ ซึ่งไม่ใช่กระดาษ
ปลายปี ค.ศ. 1930 นักหนังสือพิมพ์และศิลปินชาวฮังกาเรียน ชื่อ ไบโร ได้ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่นขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไบโรได้เกิดแนวความคิดจากหมึกแห้ง ( Quick - drying ink ) ที่ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์นั้นใช้พิมพ์หนังสือ จึงคิดหาวิธีนำหมึกชนิดนี้มาบรรจุลงในปากกา โดยที่หมึกจะไม่ไหลและหยดออกมาจนเปื้อนกระดาษ ในที่สุดก็ประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกแห้งขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือ ปากกาลูกลื่น ( Ball - point pen ) สามารถใช้ขีดเขียนโดยไม่มีหมึกหยดและไหลเปรอะเปื้อนเหมือนปากกาหมึกซึมแบบเก่า

[แก้ไข] เส้นทางของปากกาลูกลื่น
ปี ค.ศ. 1938 ไบโรได้ทำการจดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ แต่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาก่อน เขาจึงได้หนีนาซีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส สเปน และเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา
ต้นปี ค.ศ. 1940 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ไบโรได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายซึ่งเป็นนักเคมีผลิตปากกาลูกลื่นออกจำหน่าย แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ เขาจึงขายลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับราชการทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในราคาไม่กี่เหรียญ ภายหลังลิขสิทธิ์ได้ถูกขายต่อให้กับบริษัท BIC ( ของฝรั่งเศส ) ทำการผลิตปากกาลูกลื่นยี่ห้อ BIC ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ในระหว่างปี ค.ศ. 1950 - 1980 สามารถจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านด้าม / วัน
ในขณะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงกลับไม่ประสบกับความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือความภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักและใช้ประโยชน์มาตราบเท่าทุกวันนี้


หญ้าแฝกจัดเป็นหญ้าเขตร้อนที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ กระจัดกระจายทั่วไปในสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยจะพบหญ้าแฝกขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่ทั่วไปจากที่ลุ่มจนถึงที่ดอน สามารถขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vetiveria zizanioides เป็นพืชตระกูลหญ้าขึ้นเป็นกอหนาแน่น เจริญเติบโตโดยการแตกกออย่างรวดเร็ว เส้นผ่าศูนย์กลางกอประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงจากยอดประมาณ 0.5 ถึง 1.5 เมตร ลักษณะใบแคบยาวประมาณ 75 เซนติเมตร ความสูงจากยอดประมาณ 75 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 8 มิลลิเมตร ค่อนข้างแข็ง หากนำมาปลูกติดต่อกันเป็นแนวยาวขวางแนวลาดเทของพื้นที่ กอซึ่งอยู่เหนือดินจะแตกกอติดต่อกันเหมือนรั้วต้นไม้ สามารถกรองเศษพืชและตะกอนดิน ซึ่งถูกน้ำชะล้างพัดพามาตกทับถมดินติดอยู่กับกอหญ้าเกิดเป็นคันดินตามธรรมชาติได้ หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากลึกเจริญเติบโตในแนวดิ่งมากกว่าออกทางด้านข้างและมีจำนวนรากมากจึงเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี รากจะประสานติดต่อกันแน่นหนาเสมือนม่านหรือกำแพงใต้ดิน สามารถกักเก็บน้ำและความชื้นได้ ระบบรากแผ่ขยายกว้างเพียง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอเท่านั้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง จัดเป็นมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้ดินมีความชื้นและรักษาหน้าดิน เพื่อใช้สำหรับปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ง่ายน้อยมาก ซึ่งจะเป็นการนำไปสู่การพัฒนาระบบเกษตรกรรมในเขตพื้นที่การเกษตรน้ำฝนให้มีความมั่นคงและยั่งยืน สามารถน้ำวิธีการนี้ไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่สองข้างของทางคลองชลประทานอ่างเก็บน้ำ บ่อน้ำ ป่าไม้ ป้องกันขอบตลิ่ง คอสะพาน ไหล่ถนน เป็นต้น


รถยนต์พลังลม หรือ Air Car ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Motor Development International โดยหลักการทำงานพื้นฐานของรถอัดลมดังกล่าวก็คือ ภายในรถจะมีถังไฟเบอร์สามารถอัดลมเข้าไปเก็บไว้ได้ถึง 52 แกลลอน ก่อนที่จะส่งต่อให้กับเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เมื่อเติมลมจนเต็ม (ใช้เวลา 3 นาที) จะสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 93 ไมล์ หรือประมาณ 150 กิโลเมตรค่ะ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.26 เหรียญฯ หรือประมาณ 115 บาท ประหยัดดีจังเลยนะคะ แต่ความเร็วของรถยนต์คันนี้ก็สามารถเร่งได้สูงสุด 40 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั่นเอง
เท่าที่ดูจากคลิปวิดีโอ การอธิบายถึงเทคโนโลยีในการนำลมไปใช้ผลิตพลังงานให้กับเครื่องยนต์ไม่ค่อยมีการพูดถึงรายละเอียดสักเท่าไร ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือมากนัก เนื่องจากหลักฟิสิกส์พื้นฐานทีเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยมัธยมก็คือ เมื่อมีการส่งถ่ายพลังงานชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งมันย่อมมีการสูญเสียพลังงานไปบางส่วน ซึ่งในที่นี้เราต้องใช้พลังงานไฟฟ้าไปสร้างพลังงานกล เพื่อบีบอัดอากาศเข้าไปในถัง หลังจากนั้นแปลงพลังงานลมที่เก็บในถังไปขับเคลื่อนเครื่องยนต์เพื่อให้ล้อรถหมุนอีกทีหนึ่ง ไม่รู้ว่า คำตอบที่ได้มันคุ้มค่ากับประสิทธิภาพของรถที่ได้ หรือเปล่า หากเทียบกับการใช้แบตเตอรี่ และไฮโดรเจนที่อันตรายกว่า งานนี้ก็ต้องรอดูกันไป...

นกยูงไทย




นกยูงไทย
สัตว์ปีก
Green Peafowl
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Pavo muticus
ลักษณะทั่วไป เป็นนกขนาดใหญ่มาก ความยาววัดจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 102 - 245 เซนติเมตร ทั้งเพศผู้และเพศเมียมีหงอนเป็นพู่สีเหลืองชี้ตรงอยู่บนหัว ต่างจากนกยูงอินเดียซึ่งเป็นรูปพัด บนหัวและคอเป็นขนสั้น ๆ สีเขียวเหลือบน้ำเงิน หน้ามีสีฟ้า ดำ และเหลือง ขนคอ หน้าอกและหลังตรงกลาง ขนมีเหลือบน้ำเงินแก่ล้อมด้วยสีเขียวและสีทองแดง นกยูงตัวผู้มีแพนขนปิดหางยาวหลายเส้น ตรงปลายมีดอกดวง "แววมยุรา" ตรงกลางดวงมีสีน้ำเงินแกมดำอยู่ภายในพื้นวงกลมเหลือบเขียว ล้อมรอบด้วยรูปไข่สีทองแดง เมื่อนกยูงรำแพนจึงเป็นรูปพัดขนาดใหญ่มีสีสันสวยงามมาก นกยูงตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย และมีเดือยสั้นกว่า ขนของตัวเมียมักมีสีน้ำตาลแดงแทรกอยู่เป็นคลื่น ถิ่นอาศัย, อาหาร นกยูงมีการกระจายพันธุ์ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกาะชวา ในประเทศไทยพบในภาคเหนือและภาคตะวันตก นกยูงกินทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ เมล็ดหญ้า เมล็ดของไม้ต้น ธัญพืช ผลไม้สุก แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน งู และสัตว์ขนาดเล็ก พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ นกยูงอาศัยตามป่าทั่วไปในระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พบอยู่เป็นฝูงเล็กๆ หลังช่วงฤดูผสมพันธุ์มักพบตัวเมียอยู่กับลูกตามลำพัง มักออกหากินในช่วงเช้าและบ่าย ตามชายป่าและริมลำธาร ตอนกลางคืนมักจับคอนนอนตามกิ่งไม้ค่อนข้างสูง การเกี้ยวพาราสีกันของนกยูงเริ่มเมื่อนกยูงตัวเมียหากินเข้าไปดินแดนของนกตัวผู้ ตัวผู้จะร่วมเข้าไปหากินในฝูงด้วย และแสดงการรำแพนหาง กางปีกสองข้างออกพยุงลำตัว ชูคอขึ้นแล้วย่างก้าวเดินหมุนตัวไปรอบ ๆ ตัวเมีย การรำแพนหางจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที หากตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์จะย่อตัวลงให้ตัวผู้ขึ้นผสมพันธุ์ นกยูงทำรังบนพื้นดินตามที่โล่งหรือตามซุ้มกอพืช อาจมีหญ้าหรือใบไม้แห้งมารองรัง วางไข่ครั้งละ 3 - 6 ฟอง เริ่มฟักไข่หลังจากออกไข่ฟองสุดท้ายแล้ว โดยใช้เวลาฟักทั้งสิ้น 26 - 28 วัน ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยคลุมทั่วตัว สามารถยืนและเดินตามแม่ไปหาอาหารได้ทันทีที่ขนแห้ง โดยลูกนกจะตามแม่ไปหากินไม่น้อยกว่า 6 เดือน จากนั้นจึงหากินตามลำพัง สถานภาพปัจจุบัน นกยูงในป่าธรรมชาติค่อนข้างหายาก และปริมาณน้อย นอกจากบางแห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ยังพบได้บ่อย และปริมาณปานกลาง กฎหมายจัดให้นกยูงไทยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 สถานที่ชม สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา

แว่นตา Alain Mikli และ Starck



Starck เปิดตัวแว่นรุ่น Alux (limited edition) ที่ผลิตเพียง 1,000 ตัวทั่วโลกในราคา 72,000 บาท

บริษัท ริชชี่ วิชั่น จำกัด (ร้าน Infinity Gallery) ผู้นำเข้า และจำหน่ายแว่นตา Alain Mikli และ Starck ในประเทศไทยเปิดตัวสินค้าใหม่สุดหรูรุ่น limited edition ที่ผลิตเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก โดยได้รับการออกแบบจากดีไซน์เนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Mr. Philippe Starck ด้วยสรีระศาสตร์แห่งการโอบกอด จึงได้ประดิษฐ์คิดค้นแว่นตาสำหรับอนาคต โดยได้ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ และความชำนาญด้านเทคนิค จนเกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Biovision ขึ้นมา ภายใต้คำนิยาม แว่น starck ว่าเป็น "ปรากฎการณ์แห่งจินตนาการที่สอดคล้องกับมนุษย์" และด้วยวัสดุที่ก้าวล้ำนำสมัยด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม น้ำหนักที่เบา กับ Aluminium (อะ-ลู-มิ-เนียม) ซึ่งเป็นวัสดุตัวนี้มีความทนทานต่อสภาพอากาศและการกัดกร่อนของน้ำ และยังเบากว่าไทเทเนียมเป็น 2 เท่า แล้วเบากว่าโลหะทั่วไปถึง 3 เท่าอีกด้วย ในราคาที่จำหน่ายทั่วโลกคือ 72,000 บาท
นายก่อเกียรติ เกียรตินิพูล กรรมการผู้จัดการร้าน Infinite Gallery กล่าวว่า จากการที่บริษัทได้นำเข้า และจัดจำหน่ายแว่นตา Alain Mikli และ Starck มากว่า 4 ปี ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการออกแบบ และคิดค้นครั้งสำคัญของดีไซน์เนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Mr.Philippe Starck ด้วยการวิจัยเป็นระยะเวลานานกว่า 4 ปี ที่ Mr.Alain Mikli และ Mr. Philippe Starck ได้คิดค้นวัสดุที่ก้าวล้ำนำสมัยด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม น้ำหนักที่เบา รวมถึงความทนทานต่อการเกิดผลกระทบจากสาเหตุของการใช้งาน Aluminium (อะ-ลู-มิ-เนียม) เป็นวัสดุที่เกิดจากการหลอมละลายของอะตอมไดออกไซด์และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเปลือกโลก ที่สามารถค้นพบได้ตามธรรมชาติ อาทิ ในน้ำ อาหารหรือแม้กระทั่งร่างกายของมนุษย์ ซึ่งวัสดุตัวนี้มีความทนทานต่อสภาพอากาศและการกัดกร่อนของน้ำ อีกทั้งเป็นวัสดุที่ได้ชื่อว่าเบากว่าไทเทเนียมเป็น 2 เท่า แล้วเบากว่าโลหะทั่วไปถึง 3 เท่าเลยทีเดียว และที่สำคัญยังเป็นวัสดุธรรมชาติที่นำกลับมาใช้ได้อีก 100% ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นายก่อเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้อะลูมิเนียมถูกหยิบยกมาเป็นวัสดุที่ผลิตแว่นตาคอลเล็กชั่น Alux (เอ-ลู-เอ็กซ์) ซึ่งได้นำกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่ได้จากกระบวนการกลั่นกรองทางความคิดอย่างรอบคอบ ผนวกกับความสวยงาม ความสง่างามในแบบฉบับที่ลงตัว เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความทันสมัยได้อย่างเยี่ยมยอด โดยเฉพาะนวัตกรรมใหม่ของการออกแบบในการทำหน้าแว่นให้เป็นชิ้นเดียวกัน โดยไม่มีการเชื่อมต่อของโลหะเลยแม้แต่น้อย หรือแม้กระทั่งการดีไซน์ขาแว่นตาในรูปลักษณ์ที่ออกแบบโดยใช้ยางพิเศษห้อหุ้มขาแว่นไว้ ก่อให้เกิดความสบายและกระชับใบหน้าเวลาที่สวมใส่มากขึ้น จากคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงทำให้ Alux มีความโดดเด่นทางด้านวัสดุที่นำมาผลิตที่ถือได้ว่าก้าวล้ำ รวมถึงการออกแบบดีไซน์ยังคงยึดแนวความคิดเดิม (Biovision) ของ starck ที่มีจุดเด่นตรงขาแว่นตาที่สามารถหมุนได้รอบเสมือนหัวไหล่ของมนุษย์ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว คอลเล็กชั่น Alux นี้ได้มีการออกรุ่น very limited edition ซึ่งมีอยู่แค่ 1,000 ตัวทั่วโลก โดยจะมีรุ่นที่เป็น optical frames จำนวน 500 ตัว และรุ่น solar frames จำนวน 500 ตัวเช่นกัน ราคาต่อตัวอยู่ที่ 72,000 บาท ซึ่งในรุ่น limited edition นั้นจะมีการแกะสลักตัวเลขไว้ที่ตัวแว่น พร้อมกันนั้น Starck ยังได้ถือโอกาสเปิดตัวรุ่น Alux ทั่วไปนั้นราคาของ optical frame จะอยู่ประมาณ 30,000 บาท ส่วน sunglasses จะอยู่ที่ 33,200 บาท
"ด้วยศักยภาพในการผลิตจนก้าวมาสู่ความเป็นผู้นำในตลาดแว่นตาระดับโลก Alain Mikli และ Starck ได้ขยายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบาย โดยจะเพิ่มความเก๋ และความสวยงามของสีสันที่สะดุดตามากขึ้นของกรอบแว่นใน concept ที่ทางดังนั้น starck จึงเหมาะสมกับผู้ที่รักความโดดเด่น และต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้ตนเอง กับแว่นตา design ที่บ่งบอกถึงอารมณ์ความเป็นตัวตนของตัวเองอย่างที่สุด" นายก่อเกียรติ กล่าวในที่สุด

สหรัฐเปิดตัวสุนัขโคลนนิ่งจากสุนัขกู้ภัยในเหตุวินาศกรรม 9/11
18 มิ.ย. 52 11.51 น.
อ่าน
3,900 ครั้ง
เลือกขนาดตัวอักษร :

สนับสนุนเนื้อหา
สหรัฐเปิดตัวสุนัขโคลนนิ่งจากสุนัขกู้ภัยในเหตุวินาศกรรม 9/11
สหรัฐเผยโฉมสุนัข 5 ตัวที่ลอกแบบพันธุกรรมหรือโคลนนิ่งมาจากสุนัขกู้ภัยตัวหนึ่ง ซึ่งเคยสร้างวีรกรรมในการค้นหาผู้รอดชีวิตรายสุดท้ายที่ติดอยู่ใต้ซากปรัก หักพังของตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์จากเหตุวินาศกรรม 9/11
สุนัขกู้ภัย ตัวนี้เป็นสายพันธุ์ เยอรมัน เชพเพิร์ด มีชื่อว่า ทรักเกอร์ เป็นสุนัขคู่ใจของ นายเจมส์ ซิมมิงตัน อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจชาวแคนาดา แต่มันได้ตายลงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อมีการเผยโฉมสุนัข 5 ตัวที่โคลนนิ่งมาจากทรักเกอร์ จึงสร้างความดีใจให้แก่นายซิมมิงตันเป็นอย่างมาก และเขาก็จะได้เป็นเจ้าของสุนัขทั้ง 5 ตัวนี้ด้วย
นายซิมมิงตัน ได้เป็นเจ้าของสุนัขเหล่านี้ หลังคว้าชัยในการแข่งขันเฟ้นหาสุนัขที่ควรค่าแก่การถูกโคลนนิ่งมากที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทไบโออาร์ทส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐ ซึ่งนายซิมมิงตันก็หวังว่า สุนัขทั้ง 5 ตัวจะเจริญรอยตามทรักเกอร์ต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบโออาร์ทส์ อินเตอร์เนชั่นแนลยอมรับว่า คนทั่วไปคงไม่สามารถรับบริการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงได้ เพราะค่าใช้จ่ายในการโคลนนิ่งสุนัขแต่ละตัวอยู่ที่ 144,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.8 ล้านบาทโดยเฉลี่ย แต่ถ้าสุนัขที่เลี้ยงไว้มีความพิเศษจริงๆ และผู้เลี้ยงก็มีเงินมากพอในการนี้ ก็สามารถมารับบริการโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงได้ เช่นกรณีของทรักเกอร์ ที่ทางบริษัทเห็นว่าสมควรโคลนนิ่งมันขึ้นมาใหม่ เพราะมันเป็นสุนัขที่สร้างวีรกรรมสมควรแก่การยกย่องอย่างแท้จริง

เปิดตัว Gucci ฝังเพชร "เข็มขัดแพงที่สุดในโลก


เปิดตัว Gucci ฝังเพชร "เข็มขัดแพงที่สุดในโลก"
by orniriya on 09.10.09 /


น๊าน..! ปรากฎโฉมยั่วน้ำลายไฮโซกันอีกแล้ว กับเข็มขัดฝังเพชร ราคาแพงที่สุดในโลกในแบรนด์ Gucci แถมยังเป็นสินค้าเปิดตัวเว็บไซต์ Republica ที่จำหน่ายเฉพาะสินค้าสุดหรูอลังการ และราคาแพงมหาศาล (เท่านั้น..!) ไว้คอยเอาใจลูกค้ามหาเศรษฐีโดยเฉพาะ
สำหรับเว็บไซต์ดังกล่าว เป็นการร่วมมือกันระหว่าง
Stuart Hughes และ Goldstriker ผู้ผลิต และจำหน่ายมือถือเมคโอเวอร์ เวอร์ชั่นสุดหรู ร่วมจับมือกันเปิดตัวสุดยอดเว็บไซต์ของมหาเศรษฐี ภายใต้ชื่อ "Republica" ที่จะนำเสนอแต่สินค้าไฮโซที่ได้รับการแปลงโฉมให้เริ่ดหรู อลังการ งานสร้าง แถมยังราคาแพงมหาศาลยิ่งขึ้น ไว้เอาใจเศรษฐีกระเป๋าหนักและเชื่อว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่เหล่าไฮโซจับตามอง
ส่วนไฮไลท์ทีเด็ดในช่วงเปิดตัวของเว็บไซต์นี้ก็คือ "เข็มขัดหัวฝังเพชรยี่ห้อ Gucci "ซึ่งขณะนี้ได้ขึ้นบันชีเข็มขัด "แพงที่สุดในโลก" ไปเรียบร้อยแล้ว
เข็มขัดที่ว่านี้ เป็นผลงานการออกแบบของ Stuart Hughes เจ้าของธุรกิจ และดีไซเนอร์ชาวอังกฤษโดยเค้าได้จัดการแปลงโฉมเข็มขัด (หัว) ยี่ห้อกุชชี่ใหม่ โดยใช้พลาตินั่มน้ำหนัก 250 กรัมและเพชรเม็ดจิ๋ว น้ำหนักรวม 30 กะรัต ฝั่งลงบนตัว G ซึ่งเป็นโลโก้หัวเข็มขัดยี่ห้อกุชชี่จนกลายเป็นเข็มขัดกุชชี่เวอร์ชั่นพลาตินั่มฝังเพชร
อันที่จริง เข็มขัดเส้นดังกล่าวนี้ ถูกผลิตขึ้นตามคำสั่งของลูกค้ารายหนึ่ง เพื่อความหรูหราไม่ซ้ำใคร แต่หากใครที่อยากได้เข็มขัดเวอร์ชั่นพิเศษนี้ ทางเว็บไซต์ "Republica" ขอรับออเดอร์เพื่อผลิตเข็มขัดรุ่นดังกล่าวอีกเพียง 2 เส้น เท่านั้น ในราคาเส้นละ 155,995 ปอนด์หรือกว่า 8.2 ล้านบาท...แค่นั้นเอง!

เปิดตัวนาฬิกาแฟชั่น สเกลอิทัน พลาสม่า


เปิดตัวนาฬิกาแฟชั่น สเกลอิทัน พลาสม่า

นาฬิกาแฟชั่นพลาสติคสุดคูลแห่งพ.ศ. นี้ คงไม่มีใครเกิน “ทอยวอทช์” (ToyWatch) นาฬิกาแฟชั่นสายพันธุ์อิตาลีที่เข้ามาโด่งดังในไทยแล้ว 2 ปี และยังคงความแรงอยู่ในกระแสเทรนด์นาฬิกาวัยรุ่น
ล่าสุดเอาใจวัยมันด้วยคอลเลคชั่นใหม่ สเกลอิทัน พลาสม่า คอลเลคชั่น (Skeleton Plasma Collection) ที่นำมาอวดโฉมให้ได้สัมผัสกันก่อนอเมริกา ในงาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2009 ระหว่าง 25 สิงหาคมถึง 27 กันยายนศกนี้ ณ บูธนาฬิกาทอยวอทช์ ดิ อีเวนท์ฮอลล์ เซ็นทรัล ชิดลม
ในปีนี้ทอยวอทช์ได้เตรียมนำคอลเลคชั่นใหม่มาแนะนำให้ได้สัมผัสกันก่อนอเม ริกา กับ สเกลอิทัน พลาสม่า คอลเลคชั่น ซึ่งนับเป็นรุ่นที่ 4 ในตระกูลสเกลอิทัน ที่ยังเอกลักษณ์ด้วยพื้นหน้าปัดเปลือยเปล่า สามารถมองเห็นเครื่องจักรกลการทำงานของนาฬิกา โดยในรุ่นสเกลอิทัน พลาสม่า จะมีความพิเศษกว่ารุ่นอื่นในตระกูลเดียวกัน คือมีหน้าปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และยังมีหน้าต่างมูนเฟสแสดงข้างขึ้นข้างแรม ซึ่ง คาดว่าไม่เพียงจะโดนใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นแล้ว ในวัยทำงานก็น่าจะโดนใจด้วยเช่นกัน ที่สเกลอิทัน พลาสม่ายังแลดูหรูหรา ภูมิฐานด้วยตัวเรือนสีโรสโกลด์ และ สีดำ ตำแหน่งบอกเวลาเป็นเลขโรมันที่ประดับคริสตัล สเกลอิทัน พลาสม่า ไม่เพียงเป็นเครื่องบอกเวลา แต่ยังเป็นเครื่องประดับชิ้นงาม ที่เผยตัวตนผ่านรสนิยมความเป็นคุณบนข้อมือได้อย่างชัดเจน

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฟูจิฟิล์มแถลงข่าวเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่



ฟูจิฟิล์มแถลงข่าวเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่
บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีภาพ ประกาศเกมรุกตลาดกล้องดิจิตอล ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ ด้วยการแนะนำเทคโนโลยีล่าสุด จากฟูจิฟิล์ม พร้อมเปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุดอีก 4 รุ่น เจาะกลุ่มเป้าหมายชัดเจน พร้อมเตรียมแผนการตลาดแบบบูรณาการ หวังดันมาร์เกตแชร์เพิ่มขึ้น 15 % ในไตรมาสสุดท้ายนี้
นายสิทธิเวช เศวตรพัชร์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอล อิมเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ภาพรวมของตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 900,000 ตัว หรือคิดเป็น อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากเมื่อปีที่ผ่านมา โดยสืบเนื่องจากการพัฒนาการและแนวโน้มของตลาดกล้องดิจิตอล ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และเทคโนโลยีของกล้องดิจิตอลที่ก้าวไกลมากขึ้น ทำให้มีความละเอียดและคุณสมบัติของกล้องเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันราคาก็ถูกลงประมาณ 15-20% ทั้งแบบกล้องดิจิตอล Compact และ D-SLR
สำหรับ ในไตรมาสสุดท้ายในปีนี้ ฟูจิฟิล์ม ได้เปิดเกมรุกตลาดกล้องดิจิตอลแบบเต็มรูปแบบ โดยมองถึงโอกาสทางการตลาด จากปัจจัยบวก ทั้งในด้านของสถานการณ์ของการเมืองที่เริ่มนิ่ง โดยรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดีในส่วนของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนการลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศ นอกจากนั้น ยังมีงานอีเวนท์สำคัญ ๆ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ อาทิ เช่น พิธีเฉลิมฉลององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนม์มายุครบ 80 พรรษา, การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ โคราช และเทศกาลปีใหม่ ที่คนไทยนิยมท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย ซึ่งบริษัทฯ คาดว่า การเก็บภาพแห่งประวัติศาสตร์และความประทับใจ ร่วมสร้างสีสันในช่วงเวลาเหล่านี้ จะช่วยผลักดันให้ตลาดกล้องดิจิตอลโตขึ้นอีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ดังนั้น ฟูจิฟิล์มจึงได้เปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ 4 รุ่น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยแต่ละรุ่น นอกจากจะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของฟูจิฟิล์มไม่ว่าจะเป็น Face Detection Technology 2 ที่เพิ่มประสิทธิภาพ โดยเพิ่มองศาการค้นหาใบหน้ามนุษย์จาก 60 องศา ซึ่งใช้ในกล้องดิจิตอลทั่วไป เป็น 270 องศา ทำให้สามารถค้นหาและโฟกัสใบหน้าได้ในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของกล้อง พร้อมระบบแก้ตาแดงอัตโนมัติก่อนถ่ายภาพ นอกจากนั้น ยังพัฒนาเทคโนโลยี ความไวแสงสูง (Ultra high sensitivity) ที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของฟูจิฟิล์ม ได้สูงสุดถึง ISO 6400 โดยมีสัญญาณการรบกวนน้อยมาก รวมถึงมีระบบป้องกันการสั่นไหว แบบ Dual Image Stabilization เพื่อให้ภาพ คมชัด สวยเหมือนจริงดั่งตาเห็น

Dyson เปิดตัวพัดลมไม่มีใบพัด


Dyson เปิดตัวพัดลมไม่มีใบพัด
Submitted by toandthen on 13 October 2009 - 10:20 tags:



ดูเหมือนว่าในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาจะไม่มีเทคโนโลยีพัดลมใหม่ ๆ เลยจนกระทั่งวันนี้ Dyson บริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านเครื่องดูดฝุ่นและที่เป่าผมได้ออกมาเปิดตัวพัดลมยุคใหม่ที่ไม่มีใบพัด
เมื่อเห็นรูปแล้ว (คลิกเข้ามาอ่านต่อ) หลาย ๆ คนก็อาจจะมานั่งคิดว่าเขาทำได้อย่างไร แต่ถ้าหากดูดี ๆ แล้ว ตัวใบพัดจริง ๆ ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่มันย้ายไปอยู่ตรงฐานของพัดลมนั่นเอง การทำงานทั้งหลายว่าง่าย ๆ คล้ายกับที่ดูดฝุ่นแบบกลับด้านนั่นเอง
ข้อดีของพัดลมตัวนี้คือต่อไปนี้เราจะไม่ต้องบาดเจ็บจากการที่เอามือเข้าไปแหย่ในใบพัดของพัดลม ข้อเสียของพัดลมนี้คือต่อไปนี้เราไม่สามารถที่จะทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์โดยการออกเสียงจากด้านหลังของพัดลมได้ต่อไป ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อเทียบกับพัดลมขนาดเท่า ๆ กันละก็แรงของลมที่เป่าออกมาแทบจะสู้ไม่ได้
สำหรับราคาก็ยังแพงมากสำหรับพัดลม เริ่มต้นที่ 9,999 บาท (300 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับขนาด 10 นิ้ว และ 10,999 บาท (330 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับขนาด 12 นิ้ว

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปลาหมอสีราคาแพงที่รัฐเท็กซัส


หากจะเอ่ยถึงเจ้าปลาหมอสีครอสบรีดสายพันธุ์ “เท็กซัสแดง” หรือชื่อแบบอินเตอร์ว่า “Red Texas” นักเลี้ยงปลาหมอสีข้ามสายพันธุ์ก็คงจะร้อง อ๋อ~!!! เพราะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเลี้ยงปลาหมอสีครอสบรีดอยู่แล้วว่า เป็นปลาหมอสีข้ามสายพันธุ์ที่เกิดจากฝีมือคนไทยเมื่อนับ10ปีมาแล้ว แต่ถึงแม้จะมีผู้เพาะพันธุ์มานาน แต่เพิ่งจะมาโด่งดังเอาสุดขีด ก็ตอนที่ได้มีผู้นำเท็กซัสแดงที่มีมูลค่าในการซื้อขายกันถึงหลักล้านมาโชว์ในงานประมงน้อมเกล้าเมื่อปี2002 เจ้าปลาหมอสีระดับเศรษฐีเงินล้านชนิดนี้ หากไม่รู้จักกันมาก่อน ใครจะเชื่อว่าเกิดมาจากเหล่าพ่อแม่ปลาสามัญชนทั่ว ๆ ไปที่มีราคาเพียงแค่หลักร้อยหลักพันเท่านั้นเอง ซึ่งต้นกำเนิดของเจ้าปลาหมอสีครอสบรีดสายพันธุ์ไฮโซชนิดนี้ก็คือ... ปลาหมอสีสายพันธุ์แท้นาม Texas Cichlid (Herichthys carpinte) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในชื่อ “เท็กซัสเขียว” นำมาผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาลอกสีผิวพื้นแดงนานาชนิด เช่น นกแก้ว / คิงคอง / ซินแดง / เรดเดวิล / ฯลฯ …ทำให้ได้ลูกที่มีลักษณะเป็นปลาลอกสีผิวที่แปลกตาในอีกรูปแบบหนึ่ง ลูกผสมที่ได้เมื่อผ่านการลอกออกมาแล้วจะเป็นปลาสีโทนแดง-ส้มสดใสโดนใจตลาด และยังมีมุกโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเท็กซัสเขียวมาแจมอีกด้วย เมื่อทั้งสีสดใสและมุกโดดเด่นได้เข้ามาผสมผสานกันอย่างลงตัว ความสวยงามที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ธรรมดา.....ชื่อ “เท็กซัสแดง”จึงยังคงโลดแล่นและเป็นที่นิยมอยู่ในตลาดปลาหมอสีครอสบรีดได้อย่างภาคภูมิจนถึงปัจจุบัน


รองเท้าแฟชั่น
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6005รองเท้าแฟชั่น
ภายในงานเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์ รองเท้าแฟชั่นสัญชาติเอเชีย สเต็ลล่าลูน่า (StellaLuna) ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นำเสนอประวัติของรองเท้าแฟชั่นผ่านนิทรรศการ เริ่มตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจวบจนศตวรรษที่ 17 จุดหมายที่แท้จริงของรองเท้าคือปกป้องเท้าจากความเย็น และบาดแผลหรือความบอบช้ำ กระทั่งปี 1640 ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสกำลังตั้งตนเป็นศูนย์กลางแห่งความมีรสนิยมของยุโรป รองเท้าของบุรุษยังล้ำหน้ากว่ารองเท้าสตรี จนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 17 รองเท้าสตรีเริ่มได้รับความสนใจ สตรีสูงศักดิ์ในลอนดอนและปารีส ต่างก็หันมาสวมใส่รองเท้าพื้นหนา 4 นิ้ว ใช้ลูกไม้และผ้าไหมตัดเย็บและประดับประดาในช่วงบนในศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติฝรั่งเศส และการปฏิวัติอเมริกัน ทำให้ชนชั้นกลางกลับมามีอิทธิพล กำหนดรสนิยมและมาตรฐานใหม่ของสังคมทุกชนชั้น ส้นสูงหายไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ด้วยอุดมคติ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน และชีวิตคือการแสวงหาความสนุกสนานมากกว่าความร่ำรวยทางวัตถุถึงช่วงศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างการก้าวกระโดด การผลิตรองเท้าในปี 1856 ชาร์ลส์ ซิงเกอร์ ชาวอเมริกันจดสิทธิบัตรจักรตะเข็บล็อก ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตัดเย็บรองเท้า เพราะลดต้นทุนการผลิต และเปิดโอกาสให้นักออกแบบ จนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในวงการแฟชั่นและวิถีชีวิตของผู้คน ผู้หญิงยุคใหม่หันมาเล่นกีฬา เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยและท่องเที่ยวโดยลำพัง นิตยสารสำหรับสตรีเริ่มออกวางจำหน่าย และห้างสรรพสินค้าเริ่มปรากฏเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำด้านการผลิตรองเท้าสำเร็จรูป จนสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี 1914 สายการผลิตต่างๆ ในยุโรปจึงเปลี่ยนไปผลิตรองเท้าทหารแทน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง รองเท้าส่วนใหญ่มีแค่สีดำ สีน้ำตาล หรือสีขาว แต่ช่วงทศวรรษ 1920 จนถึง 1930 เริ่มมีรองเท้าหลากสีเกิดขึ้นในรูปแบบแตกต่างหลากหลาย แต่ในขณะที่อุตสาหกรรมรองเท้ากำลังทะยานเข้าสู่แวดวงแฟชั่นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเสื้อผ้า ก่อนชะงักไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเมื่อสงครามสิ้นสุดลง อุตสาหกรรมรองเท้าจึงก้าวขึ้นมาเป็นอุตสาหกรรมระดับอย่างทุกวันนี้แอนดรูว์ แบร์รี่ ผู้จัดการสเต็ลล่าลูน่า ประเทศไทย กล่าวว่า รองเท้าแฟชั่นของผู้หญิงที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้มี 2 แบบ คือ ส้นแบนราบกับรองเท้าส้นสูงที่มีส้นแตกต่างกันออกไปหลายแบบ ซึ่งจริงๆ แล้วเทรนด์แฟชั่นตอนนี้เปิดกว้างไปทั่วโลก จึงไม่มีข้อจำกัดว่าผู้หญิงประเทศนี้ทวีปนี้จะนิยมรูปแบบที่ต่างกันไป และสีรองเท้าที่มาแรงมากในซีซั่นนี้คือสีแดง สีขาว และสีเมทาลิก ส่วนหนังแก้วก็ยังคงอยู่ในเทรนด์

อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต



รีวิว Infinity Air Card ยูเอสบีโมเด็ม วันที่ : 20 ตุลาคม 2009 ใช้ชีวิตออนไลน์ได้อย่างอิสระกับ Infinity Air Card อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ขนาดกระทัดรัดเหมาะกับการพกพาไปใช้งานได้ทุกสถานที่ หรือใช้งานในบ้านที่ไม่มีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต นอกจากจะใช้เป็นโมเด็มแล้ว ยังรองรับการ์ดหน่วยความจำ microSD สำหรับเก็บข้อมูลในรูปแบบ Flash Drive รองรับเครือข่าย EDGE/GPRS (GSM 850/900/1800/1900 MHz) มีให้เลือก 2 สี (สีดำ/สีขาว) ราคาเปิดตัว 2,590 บาท

Infinity Air Card มีน้ำหนักเบาเพียง 24 กรัม วัดความยาวได้ 92 มิลลิเมตร กว้าง 28 มิลลิเมตร และ บาง 12.7 มิลลิเมตร หน้าโลโก้ Infinity มีหลอดไฟกระพริบแสดงสถานะ ส่วนบนมีปลอกสวมที่หัวต่อ USB โดยตัวปลอกจะร้อยอยู่ในเชือกสีแดงเพื่อป้องกันการสูญหาย การใส่ซิมการ์ดให้ถอดปลอกออกมาก่อน จากนั้นเลื่อนฝาครอบซิมการ์ดลง แล้วจึงสอดซิมการ์ดเข้าไปจนสุด โดยคว่ำซิมการ์ดและให้ส่วนของหัวตัดอยู่มุมบนซ้ายจากนั้นเลื่อนฝาครอบปิด แล้วนำไปเสียบกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คได้ทันที

โทรศัพท์มือถือสำหรับเด็ก


Firefly โทรศัพท์มือถือเพื่อคนที่คุณรัก Firefly โทรศัพท์มือถือที่ออกแบบมาสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ เหมาะที่ผู้ปกครองจะซื้อไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ เพื่อความปลอดภัยของคนที่คุณรัก ปุ่มกดมีขนาดใหญ่ ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สะดวกในการโทรออกหาคนสำคัญ ด้วยปุ่มโทรด่วน 2 ปุ่ม มีระบบป้องกันการรับสายจากบุคคลอื่นหรือจำกัดการโทรเข้า/โทรออก จัดเก็บรายชื่อลงในตัวเครื่องได้ 20 หมายเลข (รวมปุ่มโทรด่วนเป็น 22 หมายเลข) ซื้อความปลอดภัยให้กับลูกรักได้ในราคาเพียง 47.83 ปอนด์ หรือประมาณ 2,660 บาท

คุณสมบัติ โทรศัพท์มือถือ
Firefly
รองรับเครือข่าย 900/1800 MHz
ขนาดตัวเครื่อง 88 x 45 x 20 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 58 กรัม
ปุ่มโทรด่วน 2 ปุ่ม (Dedicated Mum and Dad Keys)
ฟังก์ชั่นปฏิเสธสายที่ไม่ได้อยู่ในสมุดโทรศัพท์
แจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ
เปลี่ยนหน้ากากได้
เสียงเรียกเข้ามีให้เลือก 12 เสียง
ภาพเคลื่อนไหวมีให้เลือก 5 แบบ

แฟชั่นคืออะไร

แฟชั่น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่:
ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ภาพชื่อ "Following the Fashion" ในปี 1794 แสดงการแต่งกายผู้หญิงยุคนั้น
แฟชั่น เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า fashion
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำนี้ว่า "สมัยนิยมหรือวิธีการที่นิยมกันทั่วไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง" เป็นการยอมรับจนเกิดเป็นค่านิยม มีกระบวนการเกิดภาษาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “วิวัฒนาการ” ที่ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วินระบุไว้ว่าวิวัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลายาวนานและสามารถถ่ายทอดสิ่งนั้นไปสู่ลูกหลานได้ โดยมากแล้วคำว่าแฟชั่น มักมีความหมายเกี่ยวกับการแต่งตัว
ประวัติ
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มุนษย์ต้องการในการดำรงชีวิตเพื่อปกปิดร่างกายและให้ความอบอุ่น ความเจริญของมนุษย์ทำให้เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เสื้อผ้ายังบ่งบอกถึงลักษณะของผู้สวมใส่ได้ด้วย เช่น ฐานะ, เชื้อชาติ, ฯลฯ


การพัฒนาของแฟชั่นในแต่ละยุคสมัยแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การเมือง, เศรษฐกิจ, ภูมิอากาศ, ฯลฯ ในศตวรรษที่ 20 แฟชั่นโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะปี ค.ศ. 1920 - 1930 หรือเรียกว่ายุค แฟลปเปอร์ (Flapper) ผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นเป็นครั้งแรก และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้หญิงต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นเสื้อผ้าที่สวมใส่ย่อมเปลี่ยนไปเพื่อเอื้อประโยชน์ในผู้สวมใส่มากขึ้น กางเกงจึงเป็นที่นิยม ตั้งแต่ยุคแฟลปเปอร์เป็นต้นมา แฟชั่นของโลกได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล เพราะการติดต่อสื่อสารของโลกตะวันตกและตะวันออกเป็นได้เปิดกว้างมากขึ้น มีการไปมาหาสู่กัน แฟชั่นของโลกตะวันตกจึงเข้ามามีบทบาทกับโลกตะวันออก เช่น คนไทยรณรงค์ให้สวมหมวก หรือ ผู้หญิงไทยเลิกสวมโจงกะเบน เพื่อความเป็นสากล
ลักษณะหรือแบบแผนของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแต่ละยุคสมัย เรียกว่า สไตล์ (Style) แต่ละคนมีสไตล์การแต่งตัวไม่เหมือนกัน เช่น บางคนชอบแต่งตัวสไตล์ พั้งค์ (Punk) หรือเด็กสาวๆชอบสไตล์เซ็กซี่ ที่ฝรั่งเรียกว่า ราซี่ (Racy or Provocative) ส่วนคำว่า เทรนด์ (Trend) คือ แฟชั่นล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยม
สไตล์การแต่งตัวสามารถจำแนกได้เป็นประเภทนับไม่ถ้วน ต่อไปนี้เป็นสไตล์เด่นๆ หลักๆ ที่เป็นที่นิยมในอดีตจนปัจจุบัน บางสไตล์ถือว่าล้าสมัยไปแล้วในปัจจุบัน บางสไตล์ถือว่าเป็นคลาสสิค เพราะแต่งเมื่อไร ก็ไม่ถูกมองว่าเชยหรือตกรุ่น อย่างไรก็ตามยังมีบางสไตล์ที่เคยล้าสมัยไปแล้วอาจเวียนกลับมาเทรนด์อีกครั้ง
Western / Cowboy or Cowgirl คาวบอย / ตะวันตก
Punk พั้งค์
Preppie เพรปปี้
Futuristic อวกาศ / อนาคต
Hippie ฮิปปี้
Mod ม็อด
Flapper แฟลปเปอร์
Disco ดิสโก้
New Wave นิวเวฟ
Goth / Gothic
โกธิค
Equestrian / Fox Hunting / Jockey จ็อคกี้ / พวกนิยมขี้ม้า
Biker นักซิ่ง / เด็กแว๊น (ของฝรั่ง)
Boho-Chic / Boho-Hippie โบโฮ
โลลิตา สาวน้อยใสๆ สไตล์ญี่ปุ่น
Eveningwear / Black Tie
ชุดราตรี
Hipster / Indie อินดี้
Hip Hop ฮิปฮอป

ตัวฉันเอง

ตัวฉันเอง : นางสาวอุบลรัตน์ พลรักษ์
เลขที 38 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2
ชื่อเล่น บ๋อมแบ๋ม อายุ15 ปี
เกิดวันที่ 7 มกราคม 2537
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนาพุทธ
ที่อยู่ 265 หมู่ 14 ต. หนองเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี 20140
อาหารที่ชอบ ข้าวผัด
สัตว์เลี่ยงที่ชอบ ปลา
กีฬาที่ชอบ แบตมินตัน
เพลงที่ชอบ Bad day
อนาคตข้างหน้าอยากเป็น แพทย์
คติพจน์ ก้าวแรกที่พลาดไป คือก้าวใหม่ที่ทั่นคง
ผู้แนะนำ
นายวีระชน ไพสาทย์
ขอบคุณค่ะ

การทำงานของคอมพิวเตอร์

1.การทำงานของคอมพิวเตอร์แบ่งได้เป็นกี่ส่วนได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 4 ส่วน ได้แก่1.รับข้อมูล
2. เก็บข้อมูล
3.ประมวลผล
4.แสดงผลลัพธ์

2.ขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ มี 3ขั้นตอนใหญ่ๆคืออะไรบ้าง
ตอบ 1. รับข้อมูล
2.ประมวลผลข้อมูล
3.แสดงผลข้อมูล

3.ฮาร์ดแวร์แบ่งลักษณะการทำงานเป็นกี่หน่วยอะไรบ้าง
ตอบ 4 หน่วย ได้แก่1.หน่วยรับโปรแกรมข้อมูล
2.หน่วยประมวลผลกลาง
3.หน่วยความ
4.หน่วยแสดง

4.ส่วนรับข้อมูลทำหน้าที่อย่างไร
ตอบ ทำหน้าที่รับข้อมูลจากคนและส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยประมวลผล

สิ่งที่ฉันสนใจ

ปลากัด.......พูดได้เลยว่าคนไทยทุกคนต้องรู้จัก ปลากัด เป็นอย่างดี แต่หากจะถามว่าใครเพาะ ปลากัด และ เลี้ยงปลากัด ตั้งแต่ ปลากัดตัวอนุบาลบ้าง คงเป็นกลุ่มที่เล็กลงมา แล้วถ้าถามต่อว่าใครเป็นผู้พัฒนาสาย ปลากัด บ้าง นี้ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก แล้วคุณล่ะครับคิดจะเลี้ยง ปลากัด ให้อยู่ใน ระดับไหน ถ้าจะพูดถึงเวปนี้ เริ่มเปิดขึ้นมาได้ช่วงระยะเวลาสั้นๆและก็มีการปรับปรุงรูปแบบพัฒนาไปพร้อมๆกัน เหมาะสำหรับมือใหม่ๆที่สนใจใน เรื่องราวของปลากัด ไม่ว่าจะเป็นปลากัดสวยงาม หรือ ปลากัดสายกัด หากคุณเป็นคนนึงที่ต้องการเรียนรู้เรื่อง การเพาะปลากัด การอนุบาลปลากัด การฟอร์มปลากัด หรือไม่ว่า จะต้องการหา สายพันธุ์ปลากัด หรือต้องการขาย สายพันธุ์ปลากัด ที่ตัวเองเป็นคนเพาะขึ้นมา เวปนี้ก็เหมาะ สำหรับคุณผู้ ที่กำลังอ่านและ รักปลากัด แล้วล่ะครับ สิ่งที่อยากแนะนำสำหรับ คนรักปลากัด ที่เข้ามาใหม่ อยากให้ลองเข้า webborad ของเวปนี้ก่อน แล้วคุณจะได้อะไรมากมายมากกว่า การเลี้ยงปลากัด เวปบอร์ด ปลากัด นี้จะมีการอับเดทข้อมูลเกี่ยวกับปลากัดทุกๆวัน ทำให้คุณไม่ตกข่าวสารของ วงการปลากัด ถ้าคุณจะ พัฒนาสายปลากัด แล้วคุณจะหยุดนิ่งไม่ได้ และหากต้องการถามปัญหาเกี่ยวกับ ปลากัดที่คาใจ ก็มีเพื่อนๆ คนรักปลากัด พร้อมจะแนะนำ ให้คุณสามารถเลี้ยงปลากัดได้อย่างราบ

เพื่อแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

เพื่อแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง
เพื่อแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง
ร่มไทรงามยามเช้าคราวเบิกฟ้า สร้อยระย้าม่านไทรไหวอ่อนหวาน

ให้ความรื่นชื่นเย็นและเบิกบาน คุ้มภัยพาลจากกิ่งใบไม้ไทรบัง
ยามราตรีมีความหมายให้พิงพัก เข้าร่มรักถักทอก่อความหวัง

เป็นเรือนนอนผ่อนใจให้พลัง ร่มไทรยังความสดชื่นให้คืนมา
เย็นร่มไทรเพียงหนึ่งในส่วนของล้าน ไม่เปรียบปานร่มชีวีที่แน่นหนา

คือร่มเกล้าอุ่นเกศของมารดา แผ่ปกมาคราชนม์เริ่มบนครรภ์
สายโลหิตสนิทแนบแอบไอรัก แม่ฟูมฟักถนอมหวังตั้งความฝัน

ป้อนอาหารผ่านสายใจไปให้กัน รอคอยวันพบหน้ามาอิงทรวง
เห่กล่อมขวัญวันลืมตามาพบพักตร์ กระแสรักแผ่ไปอย่างใหญ่หลวง

ธารน้ำนมผสมใจแม่ทั้งดวง บำรุงเลี้ยงให้ล่วงเจริญวัย
จวบวันนี้จะกี่ปีที่ผันผ่าน ต้นรักยังแตกก้านกิ่งไสว

ผลิใบรักถักดอกบอกเยื่อใย จากหัวใจของแม่แผ่คุ้มเงา
กี่ร้อนแล้งแห้งไร้น้ำไหลหลาก ใบรักจากใจแม่ไม่เคยเฉา

ให้ความเย็นคลายร้อนผ่อนบรรเทา อบอุ่นใจคลายเศร้าทุกคราวเอย


>>>>แม่คือครูคนแรกที่ลูกรัก แม่ฟูมฝักฝึกฝนจนเติบใหญ่
แม่พรำ่สอนพรำ่จิตรจนเข้าใจ แม่อยากให้ลูกรักเป็นคนดี

รักแม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมาก
จาก ลูกบ๋อมแบ๋ม